วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประวัตินักเตะแมนยู

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555




ไมเคิล คาร์ริค


วันเดือนปีเกิด 28 กรกฎาคม 1981สถานที่เกิด วอลล์เซนด์, อังกฤษส่วนสูง 186 เซนติเมตรนำหนัก 74 กิโลกรัมตำแหน่ง กองกลางหมายเลขเสื้อ 16ทีมชาติ อังกฤษย้ายมาร่วมทีม 31 กรกฎาคม 2006ต้นสังกัดเดิม ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ค่าตัวในการย้ายทีม ไม่เปิดเผย (คาดว่า 14 ล้านปอนด์)

ไมเคิล คาร์ริค เป็นกองกลางชั้นเชิงสูงที่ครบเครื่องคนหนึ่ง ครองบอลในแดนตัวเองได้ดีพอๆ กับการแย่งบอลกลับคืนมาหรือเปิดเกมรุกขึ้นหน้า



คาร์ริค เริ่มต้นเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรวอลล์เซนด์ บอยส์ คลับ ซึ่งเป็นสโมสรที่เคยสร้างนักเตะอย่างอลัน เชียเรอร์ และปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ ก่อนที่จะเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลอาชีพกับอคาเดมี่เยาวชนอันเลื่องชื่อของเวสต์ แฮม ในปี 1998 คาร์ริค ลงเล่นร่วมกับโจ โคล ได้อย่างโดดเด่นในเกมที่เอาชนะโคเวนทรี ซิตี้ ไปอย่างถล่มทลาย 9-0 ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ ยูธ คัพ ในปี 1999 โดยคาร์ริค ทำได้ 2 ประตูในนัดนี้

ในฤดูกาล 1999/2000 คาร์ริค ถูกยืมตัวไปอยู่กับสวินดอน ทาวน์ ฤดูกาลต่อมาเขาถูกยืมตัวอีกครั้งคราวนี้ไปอยู่กับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาในการเล่นให้กับเบอร์มิงแฮม ในฤดูกาล 2000/01 ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ท้าชิงรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับสตีเว่น เจอร์ราร์ด ของลิเวอร์พูล

คาร์ริค ใช้เวลาส่วนมากในฤดูกาล 2002/03 พักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บก่อนที่เวสต์ แฮม จะต้องตกชั้นไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล แทนที่จะย้ายออกจากทีมตามเพื่อนร่วมทีมอย่างโจ โคล, เฟรดี้ คานูเต้ และเจอร์เมน เดโฟ แต่คาร์ริค ยังคงอยู่กับเวสต์ แฮม ในฤดูกาลแรกที่ลงไปเล่นในดิวิชั่น 1 ซึ่งพวกเขาพลาดการได้เลื่อนชั้นกลับคืนสู่พรีเมียร์ชิพไป้เพียงนิดเดียวในนัดชิงชนะเลิศของการเพลย์ออฟ แต่คาร์ริค ต้องการกลับไปเล่นในพรีเมียร์ชิพจึงย้ายไปร่วมทีมสเปอร์ส ในปี 2004 ด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์

นับตั้งแต่นั้น คาร์ริค ก็ฉายแววโดดเด่นอย่างชัดเจน ทักษะการจ่ายบอลและไหวพริบในการเล่นของเขาทำให้เขาเป็นกองกลางที่มีคุณค่ายิ่ง ภายใต้การฝึกสอนของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และสต๊าฟโค้ชทีมชุดใหญ่ของแมนฯ ยูไนเต็ด พรสวรรค์ของเขาสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก

หลังจากได้ลงเล่นในทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 21 ปีไปแล้ว 14 ครั้ง คาร์ริค ก็ได้รับโอกาสในทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปี 2001 กองกลางวัย 19 ปีเป็นตัวสำรองในช่วงพักครึ่งในเกมที่ชนะทีมชาติเม็กซิโก 4-0 ที่สนามไพรด์ พาร์ค ของดาร์บี้ เคาน์ตี้ เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติอังกฤษชุดฟุตบอลโลก 2006 และแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถลงเล่นในระดับสูงสุดได้ด้วยการเล่นอย่างใจเย็นในเกมที่ชนะทีมชาติเอกวาดอร์ ซึ่งเขาได้รับหน้าที่เป็นตัวคุมจังหวะเกม

ที่แมนฯ ยูไนเต็ด เขาได้สืบทอดเสื้อหมายเลข 16 ต่อจากรอย คีน เขามีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างไปจากอดีตกัปตันทีมปิศาจแดง แต่ความคล่องตัว การจ่ายบอล และความสามารถในการครองบอลของเขาจะทำให้เขาเป็นนักเตะคนสำคัญคนหนึ่งในแผงกองกลางของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้อย่างแน่นอน















ประวัติ ริโอ เฟอร์ดินานด์




นับตั้งแต่ย้ายจากลีดส์ ยูไนเต็ด มาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2002 ริโอ เฟอร์ดินานด์ ก็กลายเป็นหัวใจในแนวรับของ "ปีศาจแดง" มาตลอด รวมถึงเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษด้วย







 ชีวิตในวัยเด็กของ เฟอร์ดินานด์ ค่อนข้างจะยากลำบาก โดย จูเลี่ยน พ่อของเขาอพยพมาจากเซนต์ ลูเซีย ขณะที่ เจนิส ลาเวนเดอร์ เป็นแองโกล-ไอริช และพ่อแม่ของเขาไม่เคยเข้าพิธีแต่งงานกันมาก่อน อีกทั้งยังเลิกกันตั้งแต่ ริโอ ยังเป็นเด็กๆ ด้วย เขามีน้องชายและน้องสาวหลายคน รวมถึงน้องชายและน้องสาวอย่างละคนจากการแต่งงานใหม่ของแม่ด้วย
 อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตระกูล เฟอร์ดินานด์ จะเป็นแหล่งผลิตนักฟุตบอลชั้นดีหลายคน โดย อันทอน เฟอร์ดินานด์ ซึ่งเป็นน้องชายของเขาเล่นให้กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ส่วน เลส เฟอร์ดินานด์ ลูกพี่ลูกน้องของเขาก็เป็นถึงอดีตศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษมาแล้วเช่นกัน
 เฟอร์ดินานด์ เริ่มต้นการเล่นในระดับเยาวชนให้กับควีนสพาร์ค เรนเจอร์ส (คิวพีอาร์) ตามด้วย เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก่อนที่จะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของ "ขุนค้อน" และประเดิมสนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 1996 ในฐานะตัวสำรองในเกมที่เสมอกับ เชฟฟิลด์ เวนสเดย์ และในฤดูกาล 1997-98 เขาก็คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเวสต์แฮม ด้วยวัยเพียง 20 ปี
 หลังจากนั้น เฟอร์ดินานด์ ก็ย้ายมาร่วมทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีก เมื่อเดือนพ.ย. 2000 ด้วยค่าตัวมหาศาล 18 ล้านปอนด์ (ราว 1,260 ล้านบาท) และทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก ก่อนที่กลายเป็นกัปตันทีม "ยูงทอง" ในเดือนส.ค. 2001
 จากที่เคยเป็นขวัญใจของแฟนๆ ในถิ่นเอลแลนด์ โร้ด เฟอร์ดินานด์ ก็กลายเป็นคนทรยศในสายตาแฟนบอลลีดส์ ไปในทันทีที่ย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2002 ด้วยสัญญา 5 ปี เนื่องจากทั้งสองทีมถือเป็นคู่อริกันมานาน แต่ไม่วาจะอย่างไรก็ตาม เขาก็สร้างสถิติโลกในการเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกขึ้นมาใหม่ด้วยมูลค่า 33 ล้านปอนด์ (ราว 2,310 ล้านบาท)
 กว่า เฟอร์ดินานด์ จะทำประตูแรกให้ "ปีศาจแดง" ได้ ก็ต้องรอจนถึงวันที่ 14 ธ.ค. 2005 ในเกมที่ถล่ม วีแกน 4-0 แต่ประตูที่สำคัญที่สุดของเขาจนถึงเวลานี้ก็คงจะเป็นการทำประตูชัยได้ในนาทีสุดท้ายให้ทีมคว้าชัยเหนือ ลิเวอร์พูล ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปีเดียวกัน
  การทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจและคงเส้นคงวาทำให้ เฟอร์ดินานด์ ได้รับการคัดเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมปีศาจแดงอีก 7 คนในฤดูกาล 2005/06
 เฟอร์ดินานด์ ทำประตูแรกในถ้วยยุโรปได้ในเกมที่พบกับ ดินาโม เคียฟ ในฤดูกาล 2007-08 ซึ่งแมนฯ ยูไนเต็ด ชนะไป 4-2 และในเกมเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ กับ พอร์ทสมัธ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2008 เซนเตอร์ฮาล์ฟตัวเก่ง ก็ต้องสวมบทนายทวารจำเป็น เมื่อ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และ โทมัส คุซแซค โกล์มือ 2 ก็โดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถจะป้องกันลูกจุดโทษของ ซุลเลย์ มุนตารี่ ได้แม้จะพุ่งไปถูกทางก็ตาม ซึ่งผลจบลงด้วยความปราชัยของ "ปีศาจแดง" ด้วยสกอร์ 1-0
 นอกจากผลงานที่คงเส้นคงวากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้ว เฟอร์ดินานด์ ยังเป็นนักเตะตัวหลักของทีมชาติอังกฤษมาตลอด ตั้งแต่เลื่อนจากทีมยู-21 ปี ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 1997 โดยเขาลงสนามนัดแรกด้วยการเป็นตัวสำรองในเกมกระชับมิตรกับ แคเมอรูน เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 1997 และทำให้เขากลายเป็นกองหลังทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดในวัย 19 ปี 8 วัน ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะถูกทำลายโดย ไมกาห์ ริชาร์ดส์ ในเวลาต่อมา
 เฟอร์ดินานด์ พลาดการติดทีมชาติไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1998 หลังจากโดนข้อหาเมาแล้วขับ แต่ในเวิลด์คัพ 2002 และ 2006 เขาก็เป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ และได้ลงสนามเป็นตัวจริงทุกนัด และเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2008 ที่ผ่านมา กองหลังปีศาจแดง ก็ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก ในเกมนัดกระชับมิตรกับ ฝรั่งเศส ซึ่ง "สิงโตคำราม" แพ้ไป 0-1
 สำหรับชีวิตส่วนตัว เฟอร์ดินานด์ มีลูกชายชื่อ ลอเรนซ์ ซึ่งเกิดจาก รีเบ็คก้า เอลลิสัน แฟนสาว เมื่อปี 2006 และในเดือนก.ค. 2007 เขาก็ได้ขอเธอแต่งงานที่ลาส เวกัส แม้จะยังมีข่าวลืออยู่เป็นระยะๆ ว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศก็ตาม








vidic








วันเกิด 21ตุลาคม 1981 สถานที่เกิด Uzice, Yugoslavia สโมสร Red Star Belgrade, Spartak Moscow, Man Utd. ความสำเร็จ ติดทีมชาติเซอร์เบียชุดใหญ่, แชมป์ลีกเซอร์เบีย, แชมป์เอฟเอคัพเซอร์เบีย, นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของเซอร์เบีย 

กองหลังดาวรุ่งความหวังใหม่ของกองเชียร์ปีศาจแดง นักเตะที่ได้รับการจับตามองว่าจะมาเป็นกำลังสำคัญให้กับ แมนฯยูไนเต็ด เพื่อไล่ล่าแชมป์ 
2000-2001 
เริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอล โดยเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร Spartak Subotice ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิด 
2001-2002 
เนมันย่า วิดิช เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพครั้งแรกกับทีม Red Star Belgrade โดยเล่นในตำแหน่งกองหลัง และลงเล่นทั้งสิ้น 22 นัด ทำได้ 2 ประตู มีส่วนร่วมในการพาทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์เอฟเอคัพของเซอร์เบีย และพาทีมได้อันดับสองในลีก 
2002-2003 
การค้าแข้งในฤดูกาลนี้ เขาโชว์ฟอร์การเล่นได้ดีมาก เป็นกองหลังที่ประกบเหนียวแน่น มีการตัดบอลที่ดี และบางครั้งยังมีการเติมเกมรุกขึ้นมาอย่างทำเกมอย่างมีประสิทธิภาพ ลงเล่นในลีกทั้งสิ้น 25 นัด ทำได้ 5 ประตู และบอลถ้วยอีก 4 นัดกับ 1 ประตู และก็พาทีมได้รองแชมป์เอฟเอคัพของเซอร์เบีย และพาทีมได้อันดับสองในลีกอีกครั้ง 

จากการโชว์ฟอร์มอันยอดเยี่ยมนี้ทำให้เขากลายเป็นกองหลังดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามอง และถูกเรียกตัวติดทีมชาติครั้งแรกวันที่ 12 ตุลาคม 2002 ในนัดพบกับอิตาลี 
2003-2004 
ยังคงลงเล่นให้กับ Red Star Belgrade อย่างต่อเนื่อง โดยลงเล่นเกมลีกทั้งสิ้น 20 นัด ทำได้ 5 ประตู และในบอลถ้วยอีก 4 นัด แต่ปีนี้เขาประสบความสำเร็จมีส่วนทำให้ทีมเป็นดับเบิ้ลแชมป์คือคว้าแชมป์ลีกเซอร์เบียและแชมป์เอฟเอคัพได้สำเร็จ หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นักเตะเนื้อหอมในทันที และก็เป็น Spartak Moscow ของรัสเซียที่ดึงตัวไปร่วมทีม 
2003-2004 
เขาลงเล่นให้ Spartak Moscow ในเกมลีกที่ยังเหลือทันที โดยลงเล่น 12 นัด ยิงได้ 2 ประตู 
2004-2005 
ฤดูกาลนี้ลงเล่นกับทีม Spartak Moscow อย่างเต็มที่และมีส่วนสำคัญพาทีมได้อับดับสองของลีก โดยยิงได้ 2 ประตูจาก 27 นัด และพาทีมไปโลดแล่นในบอลสโมสรยุโรป นอกจากนี้จากการที่เขาสร้างผลงานที่โดดเด่นทั้งในสโมสรและทีมชาติ ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของเซอร์เบียอีกด้วย 

หลังจากลีกรัสเซียปิดตัวลงชื่อของ เนมันย่า วิดิช ก็ถูกนำไปผูกพันกับยอดทีมต่าง ๆ ในยุโรป ทั้ง แมนฯยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และ ฟิออเรนติน่า โดยลิเวอร์พูลเป็นทีมแรกที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาก่อน แต่ก็ถูกสปาร์ตัก มอสโกปฎิเสธไป และก็เป็นแมนฯยูไนเต็ดที่กล้ายื่นข้อเสนอถึง 7 ล้านปอนด์ เพื่อล่าลายเซ็นต์ของเขา โดยราคาที่แมนฯยูไนเต็ดเสนอมานั้นหลายฝ่ายเห็นว่าเป็นราคาที่แพงจนเกินเหตุ แต่ก็เป็นราคาที่ทำให้วิดิชได้กลายเป็นนักเตะปิศาจแดงในที่สุด เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนฯยูไนเต็ด บอกว่าติดตามฟอร์มของเขามานานแล้ว และเขาเป็นกองหลังที่ดี ครองบอลได้ยอดเยี่ยมรวมทั้งมีความเร็วและร่างกายที่แข็งแกร่ง 







Nani





Luis Nani Man Utd.jpg วันเกิด: 17 พฤศจิกายน 1986สถานที่เกิด: Praia, Cape Verdeตำแหน่ง: ปีกเข้าร่วมสโมสร: 1 กรกฎาคม 2007นัดแรกที่ลงสนาม: 5 สิงหาคม 2007 พบกับเชลซี (N)สัญชาติ: โปรตุเกส
หลุยส์ คาร์ลอส อัลเมยด้า ดา คุนญ่า หรือที่เรารู้จักกันในนาม นานี่ เป็นปีกที่รวดเร็วและเต็มไปด้วยพละกำลัง เขาถูกหมายตาไว้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา ว่าจะเติบโตขึ้นเป็น "นิว คริสติอาโน่ โรนัลโด้" ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องสัญชาติ ต้นสังกัดเก่า ตำแหน่ง และทักษะ

เมื่อฤดูกาล 2010/11 นานี่ได้รับเสียงโหวตจากเพื่อนร่วมทีมให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปี ด้วยผลงานท็อปคลาส แอสซิสต์ให้เพื่อนทำประตูถึง 18 ครั้ง (สูงสุดในลีก) และเป็นกำลังสำคัญให้ทีมคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 19 มาครองได้สำเร็จ

ในความเป็นจริงก็คือ นานี่เพิ่งจะได้แสดงออกถึงฝีเท้าของเขาอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อโรนัลโด้ย้ายออกไปจากทีม เพราะก่อนหน้านั้นเขาจะถูกบดบังด้วยฟอร์มของ "โด้จิ๋ว" เสมอ ในฤดูกาล 2009/10 ที่โรนัลโด้ตัดสินใจย้ายไปเรอัล มาดริดนั้น นานี่โชคไม่ค่อยดีนัก เพราะเขามีอาการบาดเจ็บในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก จนหลายคนตั้งข้อสงสัยในอนาคตของเขากับทีม โดยเฉพาะเมื่อมีแฟนๆบางส่วนไม่พอใจกับฟอร์มเข้าๆออกๆของเขาเป็นทุนอยู่แล้ว

แต่ข้อสังเกตสำคัญก็คือ นานี่เป็นนักเตะที่แตกต่างจากโรนัลโด้อย่างสิ้นเชิง นานี่เป็นปีกริมเส้นขนานแท้ จุดแข็งของเขาคือการเปิดบอลเข้ากลางให้เพื่อนทำประตูมากกว่า ในขณะที่โรนัลโด้จะเป็นปีกกึ่งกองหน้า ที่ชอบหุบเข้ากลางทำประตูด้วยตัวเอง

นานี่สามารถเล่นได้ดีไม่ว่าจะด้านซ้ายหรือขวา แต่แน่นอนว่าลูกครอสของเขาจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเขาอยู่ด้านขวา นอกจากนั้นเขายังมีทักษะ ความเร็ว และลูกยิงอันทรงพลังอีกด้วย

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวถึงนานี่ว่า ในตอนนี้เขายังไม่ใช่สินค้าที่สำเร็จรูป แต่เขากำลังค่อยๆก้าวไปถึงจุดนั้นทีละน้อย "นานี่เป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม และเขาพัฒนาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่มาอยู่กับเรา" บอสใหญ่กล่าว

ทางด้านนานี่เองก็ยอมรับว่าเขายังต้องการที่จะเรียนรู้ และคว้าแชมป์ให้มากขึ้นไปอีก โดยเขากล่าวในวันที่เขาจรดปากกาขยายสัญญาออกไปอีก 4 ปี ว่า "สต๊าฟโค้ชที่นี่สอนอะไรๆผมมากมาย และผมก็ได้ลงเล่นร่วมกับนักเตะที่ดีที่สุดในโลกหลายๆคน สำหรับตอนนี้เป้าหมายของผมคือ การช่วยทีมคว้าแชมป์มากขึ้นไปอีกครับ"







เวยน์ รูนี่ย์ "เปเล่ขาวของชาวอังกฤษ"
เวย์น รูนี่ย์ มีชื่อเต็มว่า เวย์น มาร์ค รูนี่ย์ เกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ปี 1985 ที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ และเขาก็เริ่มต้นอาชีพนักเตะด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชนของเอฟเวอร์ตัน อีกหนึ่งสโมสรดังในเมืองลิเวอร์พูล


ด้วยฝีเท้าที่ฉกาจกรรจ์เกินวัย บวกกับพรสวรรค์ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้ รูนี่ย์ เติบโตขึ้นในวงการลูกหนังได้อย่าง ไม่อยากเย็น โดยตอนที่อายุ 14 ปี เขาก็ได้เลื่อนขึ้นมาเล่นในทีมเยาวชนชุดไม่เกินอายุ 19 ปี แล้ว และสามารถรับมือกับบรรดานักเตะที่อายุมากกว่าได้สบายๆ


ในวัย 16 ปี เขาก็โดน เดวิด มอยส์ กุนซือของเอฟเวอร์ตัน ดึงตัวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่แล้ว และก็แจ้งเกิดในพรีเมียร์ลีก ด้วยการซัดประตูสุดสวยช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน เอาชนะ อาร์เซน่อล ไปได้ 2-1 เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2002 และประตูชัยของรูนี่ย์ ก็หยุดสถิติไม่พ่ายแพ้มานานถึง 30 นัด ของ อาร์เซน่อล ลงไปได้


เท่านั้นยังไม่พอ รูนี่ย์ ยังมาทำลายสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ ด้วยวัย 17 ปี กับ 111 ในตอนที่เขาลงสนามในนัดที่ อังกฤษ พบกับ ออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี 2003 ทำลายสถิติเดิมของ เจมส์ ปรินเซป ที่ยาวนานมากว่า 124 ปี ลงได้


หลังจากนั้นอีก 7 เดือน เขาก็กลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้กับทีมชาติอังกฤษได้ เมื่อยิงประตู มาเซโดเนีย ได้สำเร็จ ในการทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2004 รอบคัดเลือก โดยตอนนั้นเขามีอายุ 17 ปี กับอีก 317 วัน
โคลิน ฮาร์วี่ย์ อดีตโค้ชของรูนี่ย์ ในทีมเยาวชนของเอฟเวอร์ตัน เคยกล่าวไว้ว่านามฟุตบอลก็เหมือนสนามเด็กเล่นของรูนี่ย์ เขาสนุกกับมัน และวิงพล่านไปทั่วสนาม ถึงแม้ว่าจะเป็นกองกน้า แต่ก็ลงไปช่วงล้วงบอล แย่งบอลในแผงกองกลางอยู่เสมอ แถมบางทียังโผล่ไปช่วยเกมรับอีกด้วย


รูนี่ย์ แจ้งเกิดในระดับนานาชาติได้อย่างเต็มตัว ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ปี 2004 ที่ประเทศโปรตุเกส เป็นเจ้าภาพ เมื่อเขาเล่นได้อย่างโดดเด่น และทำได้ 4 ประตู พา อังกฤษ ผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปพบกับ โปรตุเกส และความหวังของ อังกฤษ ก็พังทลายลงเมื่อ รูนี่ย์ ได้รับบาดเจ็บ จนถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และ อังกฤษ ที่ไร้ รูนี่ย์ ก็แพ้ โปรตุเกส ไปในที่สุด ในการดวลจุดโทษ


หลังจากที่โด่งดังขึ้นมากับ เอฟเวอร์ตัน ในที่สุด รูนี่ย์ ก็โดนทีมยักษ์ใหญ่ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุ่มเงินถึง 27 ล้านปอนด์ กระชากตัวมาร่วมทีม ซึ่งตอนแรกๆใครๆก็คิดว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสี่ยงไปไหมในการทุ่มเงินจำนวนดังกล่าว เพื่อนักเตะที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี คนหนึ่ง


แต่ในท้ายที่สุด รูนี่ย์ ก็แสดงให้เห็นว่าเงินจำนวนนั้น ไม่ได้แพงเกินฝีเท้าของเขาเลย เมื่อเขาทำแฮตทริกได้ทันทีในการลงสนามให้กับ “ปีศาจแดง” ในนัดที่เอาชนะ เฟเนร์บาห์เช่ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนจะจบฤดูกาล 2004/2005 ด้วยการลงสนามไป 29 นัด ทำได้ 11 ประตู ในฐานะของกองหน้าตัวต่ำ และคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของอังกฤษ มาครองได้


ในฤดูกาล 2005/2006 รูนี่ย์ ก็ยังทำผลงานได้ดี จนพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีก คัพ มาครอง ด้วยการเอาชนะ วีแกน 4-0 ในรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ รูนี่ย์ ทำได้ 2 ประตู และนี่ก็คือแชมป์รายการแรกในอาชีพค้าแข้งของเขา


รูนี่ย์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่พรสวรรค์สูงที่สุดของอังกฤษ นับตั้งแต่หมด พอล แกสคอยน์ กองกลางอัจฉริยะของพวกเขา แต่กว่า แกซซ่า จะติดทีมชาติก็อายุ 22 ปีแล้ว ขณะที่ รูนี่ย์ เป็นกำลังสำคัญของทีม “สิงโตคำราม” ตั้งแต่อายุ 18 ปี
สเวน โกรัน อีริคส์สัน เคยกล่าวยกย่อง รูนี่ย์ ว่าจะกลายเป็นตำนานลูกหนังของโลก เช่นเดียวกับ เปเล่ ของบราซิล โดยที่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือทีมชาติโปรตุเกส ตอบคำถามนักข่าวที่ถามถึงการเปรียบเทียบกันระหว่าง เปเล่ กับ รูนี่ย์ ว่า “ก็แค่คนหนึ่งผิวดำ ส่วนอีกคนหนึ่งผิวขาว เท่านั้น” จนทำให้แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บางกลุ่ม เรียก รูนี่ย์ ว่า “เอล บลังโก้ เปเล่”


รูนี่ย์ เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยพา อังกฤษ ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2006 แม้ว่าเขาจะยิงประตูไม่ได้ แต่ก็ช่วยสร้างสรรค์เกม และจ่ายบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมหาจังหวะทำประตูได้


อย่างไรก็ตาม รูนี่ย์ กลับพบโชคร้าย เมื่อได้รับบาดเจ็บกระดูกฝ่าเท้าขวาแตก ในการลงสนามนัดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ เชลซี 0-3 ในศึกพรีเมียร์ชิพ เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา และคาดว่าเขาจะต้องพักอย่างน้อย 6 สัปดาห์ หรือกว่าจะฟิตสมบูรณ์กลับมาลงสนามได้ในฟุตบอลโลก ก็ต่อเมื่อจบรอบแรก ไปแล้ว แต่ สเวน โกรัน อีริคส์สัน กุนซือทีมชาติอังกฤษ ก็ยังมั่นใจในตัวลูกทีมรายนี้ และใส่ชื่อเขาไปลุย เยอรมัน 2006 แม้ว่าจะโดนวิจารณ์อย่างหนัก นั่นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ รูนี่ย์ ได้เป็นอย่างดี