สำหรับความหมายอื่น ดูที่ หงส์
สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
 |
ชื่อเต็ม | Liverpool Football Club |
ฉายา | The Red, หงส์แดง |
ก่อตั้ง | 15 มีนาคม พ.ศ. 2435 [1] |
สนามกีฬา | แอนฟีลด์ (ความจุ: 45,276 คน[2]) |
เจ้าของ | เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป |
ประธาน | ทอม วอร์เนอร์ |
ผู้จัดการ | เบรนดัน ร็อดเจอส์ |
ลีก | พรีเมียร์ลีก |
2012–13 | อันดับที่ 7 |
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร |
|
|
ฤดูกาลปัจจุบัน |
สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (อังกฤษ: Liverpool Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองลิเวอร์พูล มณฑลเมอร์ซีไซด์ โดยลิเวอร์พูลครองแชมป์ดิวิชัน 1 ถึง 18 ครั้ง ครองแชมป์ยูโรเปียนคัพ 5 ครั้ง ยูฟ่าคัพ 3 ครั้ง และยูฟ่าซูเปอร์คัพอีก 3 ครั้ง ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2435(ค.ศ. 1892) มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ "You'll Never Walk Alone"
เนื้อหา
[ซ่อน]
- 1 ประวัติสโมสร
- 2 ชุด
- 2.1 ชุดที่ใช้
- 2.2 ผู้สนับสนุน
- 3 เดอะค็อป
- 4 ผู้เล่น
- 4.1 ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
- 4.1.1 ผู้เล่นที่ถูกยืมตัว
- 5 บุคคลสำคัญในสโมสร
- 6 เกียรติประวัติ
- 6.1 ชนะเลิศสองรายการและสามรายการ
- 7 อ้างอิง
- 8 แหล่งข้อมูลอื่น
|
ประวัติสโมสร
จอห์น โฮลดิง นักธุรกิจชาวเมือง
ลิเวอร์พูลได้เช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟีลด์ โรด เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล และเมื่อสร้างเสร็จได้ให้เอฟเวอร์ตัน เช่าเป็นสนามแข่ง และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก จอห์น โฮลดิง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมได้เช่าอยู่ ฝ่ายกลุ่มบริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนาม และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะ สแตนลีย์พาร์ค เพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า กูดิสันพาร์ค ดังนั้น จอห์น โฮลดิง จึงต้องการสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมา และ จอห์น โฮลดิง จึงไปชวนเพื่อนสนิทของเขาชื่อ จอห์น แมคเคนน่า มาทำหน้าที่ประธานสโมสรและได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลนี้ว่า Liverpool Football Club
หลังจากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกซึ่งได้รับการยอมรับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด (Liverbird) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซีย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้ ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมมิดเดิลสโบรซ์ ไอโรโนโปลิส และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครองโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล (ทั้งหมด 28 นัด) แต่การคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ (ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน) และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด
สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2435 และก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรแนวหน้าของอังกฤษอย่างรวดเร็วจนประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ลีกสูงสุดชองประเทศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2444 (ฤดูกาล 1900/01) และครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2449 (ฤดูกาล 1905/06) ครั้งที่ 3 และ 4 เป็นแชมป์สองฤดูกาลติดใน พ.ศ. 2465 กับ พ.ศ. 2466 (ฤดูกาล 1921/22 กับ 1922/23) แชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่ 5 คือปี พ.ศ. 2490 (ฤดูกาล 1946/47) อย่างไรก็ตามลิเวอร์พูลพบกับช่วงตกต่ำต้องไปเล่นในในดิวิชัน 2 ใน พ.ศ. 2497 (ฤดูกาล 1953/54) ภายหลังจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสโมสรในปี พ.ศ. 2502 สโมสรได้แต่งตั้ง บิลล์ แชงก์คลี เป็นผู้จัดการทีม เขาได้เปลี่ยนแปลงทีมไปอย่างมาก จนประสบความสำเร็จได้เลื่อนชั้นในปี พ.ศ. 2505 (ฤดูกาล 1961/62) และได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งใน พ.ศ. 2507 (ฤดูกาล 1963/64) หลังจากรอคอยมานานถึง 17 ปี บิล แชงก์ลี คว้าแชมป์เอฟเอคัพเป็นถ้วยแรกของสโมสรลิเวอร์พูลในปี พ.ศ. 2508 (ฤดูกาล 1964/65) และคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2509 (ฤดูกาล 1965/66) ความสำเร็จของแชงก์ลียังเดินหน้าต่อไป เมื่อลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ พร้อมแชมป์ดิวิชั่น 1 ใน พ.ศ. 2516 (ฤดูกาล 1972/73) และเอฟเอคัพ อีกครั้งใน พ.ศ. 2517 (ฤดูกาล 1973/74) หลังจากนั้น บิลล์ แชงก์คลี ขอวางมือจากสโมสร โดยให้ผู้ช่วยของเขาสืบทอดตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทน นั่นคือ บ็อบ เพสส์ลี
สโมสรต้องประสบกับความซบเซาในช่วงหนึ่งหลังจากได้แชมป์ลีกสูงสุดในปี พ.ศ. 2533 คือได้เพียงเอฟเอคัพ 1 ใบ ปี พ.ศ. 2535 กับลีกคัพ 1 ใบในปี พ.ศ. 2538 แต่ก็ฟื้นฟูขึ้นมาได้เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยทั้งในระดับประเทศและระดับทวีปถึง 3 แชมป์ (คาร์ลิ่ง ลีกคัพ, เอฟเอคัพ รวมทั้งยูฟ่าคัพ) ได้ในปี พ.ศ. 2544 (ฤดูกาล 2000/01) ในปี 2544 นี้ลิเวอร์พูลยังคว้าถ้วยยูฟ่าซูเปอร์คัพ ที่เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิคแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในปีนั้น รวมทั้งเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับตัวฉกาจในถ้วยชาริตีชีลด์ ก่อนเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกเป็นปีที่หอมหวานปีหนึ่งของกองเชียร์ลิเวอร์พูล นักเตะสำคัญยุคนั้นได้แก่ ไมเคิล โอเวน, เอมิล เฮสกี, สตีเวน เจอร์ราร์ด, ซามี ฮูเปีย และ ยอร์น อาร์เน รีเซ เป็นต้น ทีมชุดนี้ผู้จัดการทีมคือ เฌราร์ อูลีเย ชาวฝรั่งเศส ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันส่งท้ายของอูลีเยคือ การนำทีมลิเวอร์พูลชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ในนัดชิงฟุตบอลลีกคัพ พ.ศ. 2546 (ฤดูกาล 2002/03) และแชมป์ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของลิเวอร์พูลคือปี 2548 ชนะในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เป็นครั้งที่ 5 ของสโมสร ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ตื่นตาตื่นใจครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บอลยุโรป เมื่อลิเวอร์พูลไล่ตีเสมอทีม เอซี มิลาน เป็น 3-3 ทั้งที่โดนยิงนำไปก่อนถึง 3-0 และในที่สุดคว้าแชมป์มาได้จากการยิงจุดโทษชนะ 3-2 เป็นทีมจากอังกฤษที่ครองถ้วยยูโรเปียนคัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) มากครั้งที่สุดถึง 5 สมัย ผู้เล่นที่สำคัญในยุคนั้น อาทิ สตีเวน เจอร์ราร์ด, ชาบี อาลอนโซ, ดีทมา ฮามันน์, วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์, เจอร์ซี ดูเด็ค และ เจมี คาร์ราเกอร์ คุมทัพโดย ผู้จัดการทีมสัญชาติสเปน ราฟาเอล เบนิเตซในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2549 (ฤดูกาล 2005/06) ลิเวอร์พูลของเบนิเตซทำให้แฟนบอลต้องลุ้นอีกครั้ง ในนัดชิงเอฟเอคัพ เมื่อต้องอาศัยลูกยิงมหัศจรรย์ของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บตีเสมอทีม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คู่ชิงแชมป์ในปีนั้นทำให้เสมอกันที่ 3-3 ต้องตัดสินแชมป์ด้วยการยิง
จุดโทษอีกครั้ง และลิเวอร์พูลก็สามารถชนะไปได้ 3-1 เป็นแชมป์สำคัญรายการล่าสุดที่ลิเวอร์พูลทำได้ แต่รายการที่แฟนบอลต้องการมากที่สุดคือแชมป์ลีกของประเทศ หรือพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน ซึ่งปีล่าสุดที่ลิเวอร์พูลคว้ามาได้คือ พ.ศ. 2533 (ฤดูกาล 1989/90) จากการคุมทีมของ เคนนี ดัลกลิช ซึ่งต่อมาภายหลังดัลกลิชสามารถนำ แบล็คเบิร์น โรเวอร์สคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้ในปี พ.ศ. 2538 (ฤดูกาล 1994/95)
ในฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งทำให้ไม่ได้ไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เบนิเตซต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย[3] และแทนที่โดย รอย ฮอดจ์สัน อดีตผู้จัดการทีม สโมสรฟูแลม[4] ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 สโมสรลิเวอร์พูลนั้นเสี่ยงต่อการล้มละลาย เนื่องจากแบกรับหนี้สินเป็นจำนวนมากจากการทำงานของ จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิกส์ ทำให้ต้องขายสโมสร ต่อมา จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี เจ้าของทีม บอสตัน เรด ซ็อกซ์และนิว อิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส ได้ทำการซื้อขายสำเร็จในการซื้อสโมสรลิเวอร์พูล เมื่อตุลาคม 2010[5] ผลการแข่งขันที่ย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้ฮอดจ์สันลาออกจากตำแหน่ง โดยมี เคนนี ดัลกลิช กลับมาคุมทีมอีกครั้ง[6]โดยในฤดูกาล 2011-12 สามารถคว้าแชมป์ในรายการ คาร์ลิงคัพ ได้สำเร็จเป็นสมัยที่แปดจากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซีตี ผลประตูรวม 3-2[7] ในฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี[8] ทางสโมสรก็ได้ปลดดัลกลิชออกจากตำแหน่ง[9][10] เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง เบรนดัน ร็อดเจอส์ อดีตผู้จัดการทีมสโมสรสวอนซีซิตี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่[11]
ชุด
ประวัติชุดทีมเหย้า
|
|
|
(1907-1910) (1934-36) (1944-45) |
|
|
|
|
|
ช่วงเวลา | ชุดที่ใช้ | ผู้สนับสนุน |
1973–85 | อัมโบร | ไม่มี |
1979–82 | ฮิตาชิ |
1982–88 | คราวน์ เพนต์ |
1985–96 | อาดิดาส |
1988–92 | แคนดี |
1992–2010 | คาร์ลส์เบิร์ก |
1996–2006 | รีบอค |
2006– | อาดิดาส |
2010–2012 | สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด |
2012– | วอร์ริเออร์ |
ชุดที่ใช้
- 1973–1985: อัมโบร
- 1985–1996: อาดิดาส
- 1996–2006: รีบอค
- 2006–2012: อาดิดาส
- 2012–: วอร์ริเออร์
ผู้สนับสนุน
- 1892–1979: ไม่มีผู้สนับสนุน
- 1979–1982: ฮิตาชิ
- 1982–1988: คราวน์ เพนต์
- 1988–1992: แคนดี
- 1992–2010: คาร์ลส์เบิร์ก
- 2010–: สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
เดอะค็อป

ด้านหน้าอัฒจันทร์ฝั่ง เดอะค็อป
เดอะ ค็อป (อังกฤษ:
The Kop) เป็นชื่อที่ใช้เรียกตามชื่อของเนินเขาแห่งหนึ่งใน นาทาล ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งคนท้องถิ่นจะรู้จักกันในนาม สปิออน ค็อป โดยเกิดเหตุการณ์การทำสงครามบัวร์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1900 อังกฤษได้ส่งทหารไปกว่า 300 นาย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูล แต่แล้วในสงครามนั้นเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นคือ อังกฤษได้เสียทหารไปเกินกว่าครึ่ง เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น นักข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูลเดลี่โพสต์ ชื่อ เออร์เนสต์ เอ็ดเวิร์ตส์ จึงเสนอชื่อ สปิออน ค็อป ตามชื่อของเนินเขาลูกนั้น เป็นชื่อของ
อัฒจันทร์หลังประตูในการสร้างสนามใหม่ขึ้นมา เพื่อเป็นเกียรติในความกล้าหาญของทหารอังกฤษทั้ง 300 นาย ซึ่งต่อมาอัฒจันทร์แห่งนี้ได้กลายอัฒจันทร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกของฟุตบอลแห่งหนึ่ง. ในปี ค.ศ. 1928 ได้มีการต่อเติมอัฒจันทร์แห่งนี้ใหม่ และเมื่อใดเมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลของทีมลิเวอร์พูลขึ้น คนที่ไปดูการแข่งขันของทีมบนอัฒจันทร์จะเรียกตัวเองว่า เดอะ ค็อป (The Kop) และแล้วจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่สนามฮิลส์โบโร่ ในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งเกิดการถล่มของอัฒจันทร์ขึ้น ในการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ กับ นอร์ทติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 96 คน จึงมีคำสั่งให้ทุกสนามเปลี่ยนจากอัฒจันทร์ยืนเป็นแบบนั่งทั้งหมด และนั่นเป็นการปิดฉากของอัฒจันทร์ สปิออน ค็อป อัฒจันทร์แบบยืนที่มีความยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีอัฒจันทร์ใหม่ขึ้นมาและใช้ชื่อว่า นิว ค็อป ซึ่งความหมายต่าง ๆ ยังคงเหมือนเดิม แม้ชื่ออัฒจันทร์จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม นิว ค็อป ยังคงมีกลิ่นอายของประวัติเหล่านั้นอยู่เต็มเปี่ยม โดยปกติแล้วเมืองลิเวอร์พูลจะไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ แต่ทว่าเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่รายล้อมอยู่บนทุกๆที่ไม่ว่าจะถนนสายไหน
ผู้เล่น
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
- ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2013[13]
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
No. | | ตำแหน่ง | ผู้เล่น |
1 |  | GK | แบรด โจนส์ |
2 |  | DF | เกล็น จอห์นสัน |
3 |  | DF | โคเซ เอนรีเก ซานเชซ |
5 |  | DF | ดาเนียล แอ็กเกอร์ |
7 |  | FW | ลุยส์ ซัวเรซ |
8 |  | MF | สตีเวน เจอร์ราร์ด (กัปตัน) |
9 |  | FW | แอนดี คาร์โรลล์ |
10 |  | MF | ฟิลิปเป คูตินโญ |
11 |  | MF | อุสซามา อัสไซดี |
14 |  | MF | จอร์แดน เฮนเดอร์สัน |
15 |  | FW | เดเนียล สเตอร์ริดจ์ |
16 |  | DF | เซบาสเตียน โคอาเตส |
19 |  | MF | สจวร์ต ดาวนิง |
20 |  | MF | เจย์ สเพียริง |
21 |  | MF | ลูกัส เลย์วา |
24 |  | MF | โจ อัลเลน |
25 |  | GK | โคเซ มานวยล์ เรย์นา |
29 |  | FW | ฟาบีโอ โบรีนี |
| |
No. | | ตำแหน่ง | ผู้เล่น |
30 |  | MF | ซูโซ |
31 |  | MF | ราฮีม สเตอริง |
33 |  | MF | จอนโจ เชลวีย์ |
34 |  | DF | มาร์ติน เคลลี |
35 |  | DF | คอนอร์ โคอาดี |
36 |  | FW | ซาเหม็ด เยซิล |
37 |  | DF | มาร์ติน ชเกอร์เตล |
38 |  | DF | จอห์น ฟลานาแกน |
42 |  | GK | เปแตร์ กูลัตชี |
43 |  | DF | ไรอัน แม็คคาฟลิน |
44 |  | MF | จอร์แดน อิเบ |
45 |  | DF | สเตฟาน ซามา |
47 |  | DF | อังเดร วิสดอม |
48 |  | FW | เจอโรม ซินแคลร์ |
49 |  | DF | แจ็ก โรบินสัน |
50 |  | FW | อดัม มอร์แกน |
51 |  | DF | ลอยด์ โจนส์ |
52 |  | GK | แดนนี วอร์ด |
|
ผู้เล่นที่ถูกยืมตัว
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
No. | | ตำแหน่ง | ผู้เล่น |
— |  | FW | ดาเนียล ปาเชโก (ไป เอสดี ฮูเอสกา จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2013)[14] |
|
บุคคลสำคัญในสโมสร
ดูเพิ่มเติม รายชื่อผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
- เจ้าของ: เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป
- ผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์: เดวิด มูเรส
- สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และ แอธเลติก กราวน์ ลิมิตเต็ด[15]
- เจ้าของ: จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่
- ประธาน: ทอม เวอร์เนอร์
- รองประธาน: เดวิด กินสเบิร์ก
- กรรมการผู้จัดการ: เอียน อายร์
- ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการพาณิชย์: บิลลี โฮแกน[16]
- หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน: ฟิลิป แนช
- สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
- ผู้อำนวยการ: จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี, ทอม เวอร์เนอร์, เดวิด กินสเบิร์ก, เอียน อายร์, ฟิลิป แนช, ไมเคิล กอร์ดอน, เจฟฟรี่ วินิค
- เลขานุการสโมสร: เอียน ซิลเวสเตอร์
- กรรมการฝ่ายดำเนินการ: แอนดรูว์ พาร์คินสัน
- หัวหน้าคนดูแลสนามกีฬา: เทอร์รี่ ฟอร์ซิสธ์
- ผู้จัดการเกี่ยวกับสนาม: เก็ด โพอินตัน
- ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสาร: เจน ชาง[17]
- ผู้ฝึกสอนและทีมแพทย์[18]
- ผู้จัดการทีม: เบรนดัน ร็อดเจอส์
- ผู้ช่วยผู้จัดการทีม: โคลิน ปาสโก
- สต๊าฟฟิตเนส: เกล็น ดริสคอลล์
- หัวหน้าฝ่ายสมรรถภาพทางกายและสภาพนักเตะ: ดาร์เรน เบอร์เจส
- นักวิเคราะห์เกม: คริส เดวีส์
- โค้ชทีมสำรอง: โรดอลโฟ โบร์เรลล์
เกียรติประวัติ
ชนะเลิศสองรายการและสามรายการ
การแข่งขันที่มีช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ชาริตี/คอมมิวนิตีชิลด์ และ ซูเปอร์คัพ จะไม่นับรวมกับแชมป์รายการอื่นๆ
[19]